รันทดใจ...ยายวัย 68 สงสัยป่วยโควิด อาการทรุด รพ.ไม่รับ-ไม่สวอบให้ สุดท้ายสิ้นใจคาบ้าน

รันทดใจ...ยายวัย 68 สงสัยป่วยโควิด อาการทรุด รพ.ไม่รับ-ไม่สวอบให้ สุดท้ายสิ้นใจคาบ้าน

เมื่อวานนี้ (12 ก.ค.) เจ้าหน้าที่ อปพร.เขตบางบอน เปิดเผยว่า ได้รับการร้องขอความช่วยเหลือเข้ามาตั้งแต่ช่วงบ่ายของวันที่ 11 ก.ค. ประสานมาว่าคนไข้นางขวัญใจ อายุ 68 ปี มึนศรีษระ มึนงง ลื่นล้ม ญาตินำส่ง รพ.เอกชนแห่งหนึ่ง ผลเอ็กซเรย์ฝ้าขึ้นปอด เหนื่อยหอบ เจ้าหน้าที่คาดว่าน่าจะติดเชื้อโควิด แต่โรงพยาบาลบาลไม่ตรวจโควิด บอกเตียงเต็ม



จากนั้นทางโรงพยาบาลให้รถพยาบาลเอกชน เป็นรถแอมบูแลนซ์ มารับคนไข้ออกไปจากโรงพยาบาล รถพยาบาลเอกชนได้เคลื่อนย้ายผู้ป่วยไปโรงพยาบาลเอกชนอีกแห่งหนึ่ง ได้แต่ไปจอดอยู่หน้าโรงพยาบาล เพราะโรงพยาบาลเอกชนแห่งนี้ ก็ไม่รับตรวจเช่นกัน บอกว่าเตียงเต็ม สุดท้ายญาติจึงต้องนำผู้ป่วยรายนี้กลับมารักษาที่บ้านเหมือนเดิม ในซอยเอกชัย 76 ย่านบางบอน กรุงเทพฯ แต่ผู้ป่วยหายใจติดขัด อาการไม่ค่อยดี ช่วงค่ำของวันที่ 11 ก.ค. ญาติจึงร้องขอให้ทีมช่วยเหลือของ อปพร.เขตบางบอน ช่วยนำเครื่องออกซิเจนเข้าไปช่วยเหลือที่บ้าน ทีมช่วยเหลือจึงเข้าไปดูและก็นำเครื่องออกซิเจนไปให้ ผู้ป่วยสามารถหายใจได้ดีขึ้น



กระทั่งเช้าวันที่ 12 ก.ค. ญาติแจ้งกลับเข้ามาว่า ผู้ป่วยอาการแย่แล้วให้รีบเข้ามาช่วยด้วย และเรื่องที่เราไม่อยากให้เกิดขึ้นเลย เมื่อทีมช่วยเหลือไปถึง ผู้ป่วยได้เสียชีวิตก่อนที่ทีมเราจะเข้าไป “ทุกคนพยายามช่วยเหลือกันเต็มที่แล้วจริงๆ”



กระทั่งเช้าวันที่ 12 ก.ค. ญาติแจ้งกลับเข้ามาว่า ผู้ป่วยอาการแย่แล้วให้รีบเข้ามาช่วยด้วย และเรื่องที่เราไม่อยากให้เกิดขึ้นเลย เมื่อทีมช่วยเหลือไปถึง ผู้ป่วยได้เสียชีวิตก่อนที่ทีมเราจะเข้าไป “ทุกคนพยายามช่วยเหลือกันเต็มที่แล้วจริงๆ”



พ่อของตนไม่ค่อยได้ออกจากบ้านไปไหน คาดว่าอาจรับเชื้อมาจากเพื่อนอีกคน ซึ่งเมื่อวันที่ 5 ก.ค.เพื่อนคนนี้มาเที่ยวและนั่งคุยกับคุณพ่อที่บ้านนานหลายชั่วโมง ทั้งคู่ไม่ได้ใส่หน้ากากอนามัย ทีแรกไม่มีใครรู้ มาทราบภายหลังว่าเพื่อนของพ่อคนนี้ติดโควิดเสียชีวิต เมื่อวันที่ 10 ก.ค. และเผาในวันเดียวกัน คาดว่าเพื่อนของพ่อคงติดเชื้อมาก่อนหน้านั้นแล้วเอาเชื้อมาแพร่กระจาย



หลังจากทราบผลว่าพ่อติดเชื้อโควิด ตนรีบโทรแจ้งให้ทางบ้านทราบ เพื่อเฝ้าระวังและสังเกตอาการของคนในครอบครัว ส่วนคุณแม่วัย 68 ปี เสี่ยงสูงอาจได้รับเชื้อด้วย เพราะมีอาการไอ เหนื่อยหอบ ช่วงเช้าของวันที่ 11 ก.ค. แม่มีอาการเวียนศรีษะ ล้ม จึงพาแม่ขึ้นรถไปโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง



ตนแจ้งกับโรงพยาบาลว่าคุณแม่มีประวัติเป็นความดัน แต่ไม่ได้แจ้งว่าเป็นกลุ่มเสี่ยง เพราะกลัวโรงพยาบาลไม่รับรักษา จากนั้นโรงพยาบาลทำการเอ็กซเรย์ปอด พบว่าปอดของคุณแม่ขึ้นฝ้า หมอแจ้งญาติว่า “น่าจะเป็นโควิดนะ” แต่ไม่ได้ SWAB ตรวจหาเชื้อ โรงพยาบาลบอกว่าคุณแม่หายใจเองไม่ได้ ต้องใส่สายออกซิเจน และให้ญาติพยายามหาโรงพยาบาลอื่น ทีแรกดูเหมือนจะมีเตียงรองรับ โรงพยาบาลถามว่ายอมเสียค่ารักษามั้ย คืนละ 100,000 บาท เพราะต้องเข้าไอซียู ตนจึงปรึกษากับญาติพี่น้องและตกลงเพื่อที่จะให้คุณแม่รักษาอยู่โรงพยาบาลนี้ วางมัดจำ 50,000 บาท จากนั้นโรงพยาบาลเดินกลับมาบอกว่า “เตียงเต็ม ให้ไปหาโรงพยาบาลที่อื่นที่รับรักษา”



ลูกสาวผู้เสียชีวิต กล่าวต่อว่า เจ้าหน้าที่แนะนำให้ตนพาคนไข้วอล์คอินเข้าไป แล้วแจ้งเขาว่ามีอาการเหนื่อยหอบ ไม่ต้องบอกว่ามีอาการคล้ายติดโควิดหรือเป็นกลุ่มเสี่ยง จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้นำผลเอกซเรย์ปอดมาให้เป็นไฟส์แผ่นซีดีเราไม่สามารถเปิดดูได้ ระหว่างที่ตนเองพยายามติดต่อโรงพยาบาลต่าง ๆ เจ้าหน้าที่ก็เดินมาถามว่าได้หรือยัง จากนั้นตนแจ้งกลับโรงพยาบาลแห่งนี้ว่า จะพาคุณแม่ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลเอกชนอีกแห่งหนึ่ง ที่เดียวกับที่คุณพ่อรักษาโควิด โรงพยาบาลแห่งแรกก็เดินมาบอกจะหารถแอมบูแลนซ์ให้ซึ่งเป็นรถเอกชน บนรถถังออกซิเจน



พอไปถึงโรงบาลเอกชนแห่งที่สอง ก็ไปจอดรถอยู่หน้าโรงพยาบาล ตนแจ้งเจ้าหน้าที่ว่าคุณพ่อมาตรวจที่นี่พบติดเชื้อโควิด คุณแม่น่าจะได้รับเชื้อด้วยเพราะสัมผัสใกล้ชิดกัน จากนั้นเจ้าหน้าที่ตอบกลับว่า “ไม่มีเตียงรองรับ เตียงเต็มแล้วโรงพยาบาลในเครือก็ไม่มีเตียงรับไว้ไม่ได้”



ส่วนคุณแม่ใส่สายออกซิเจนนอนรออยู่บนรถแอมบูแลนซ์ ออกซิเจนในถังใกล้หมด ไม่รู้จะทำยังไง ตนจึงตัดสินใจพาคุณแม่กลับบ้านตามเดิม แยกคุณแม่ไปนอนที่ห้องพักชั้น 2 ของอพาร์ทเม้นท์ที่ตนเองปล่อยเช่า โดยเป็นห้องเปล่ายังไม่มีคนเช่า ห้องอยู่ด้านในสุด ไม่ให้คุณแม่ไปนอนในบ้านเกรงว่าหากติดโควิดจะนำเชื้อไปแพร่กระจายสู่ลูกหลานทั้งหมด 8 คน (เด็ก 4 ผู้ใหญ่ 4) อายุน้อยสุดคือเด็กวัย 3 เดือน ลูกของตน ทุกคนต้องกักตัว ยังได้ได้ไปตรวจหาเชื้อยกเว้นตนกับสามี ผลออกมาเป็นลบ แต่ต้องไปตรวจซ้ำ เป็นห่วงลูกวัย 3 เดือน เสี่ยงมากที่สุด เพราะ คุณพ่อคุณแม่ช่วยเลี้ยงอยู่ด้วยกันทุกวัน



และขอความช่วยเหลือจาก อปพร.เขตบางบอน เจ้าหน้าที่อาสาได้นำถังออกซิเจนมาให้ 1 ถัง ประมาณ 2 ทุ่ม (11 ก.ค.) ออกซิเจนใกล้หมดเขาก็มาเปลี่ยนให้ วัดค่าออกออกซิเจนปลายนิ้ว 60-75 ขณะนั้นคุณแม่ยังมีสติพูดคุยได้ปกติแม่ต้องการไปตรวจหาเชื้อให้มั่นใจว่าตัวเองติดเชื้อหรือไม่ บอกกับตนให้พาไปเข้าคิวจุดบริการตรวจเชิงรุก แต่มันไปไม่ไหว เจ้าหน้าที่อาสาช่วย SWAB ให้ เพื่อตรวจหาเชื้อ เพราะถ้าติดเชื้อจะได้ส่งตัวรักษาและนำผลไปยืนยัน.....

อ่านต่อ : https://ch3plus.com/news/program/248554





-------------------------
#เรื่องเล่าเช้านี้ (Morning News)
วันที่ 13 กรกฏาคม 2564
ติดตามความเคลื่อนไหวข่าวสารก่อนใครได้ที่นี่
ch3plus : https://ch3plus.com/news/programs/morning
facebook : https://www.facebook.com/MorningNewsTV3
Twitter : https://twitter.com/MorningNewsTV3
YouTube : https://cutt.ly/MorningnewsTV3

เรื่องเล่าเช้านี้กรุงเทพเอกราช

Post a Comment

0 Comments